ความคิดเห็นที่
7 |
|
คนเชียงรายเน้อ |
|
02 กันยายน 2009
13:16:34 |
ti.maha@hotmail.com |
|
IP :
10.105.1.200 |
|
ปัญหากลิ่นตัว
สาเหตุของกลิ่นตัว ก่อนอื่นขออธิบายถึงสาเหตุของกลิ่นตัวก่อนนะคะ ผิวหนังของเราในชั้นหนังแท้จะมีต่อมเหงื่อและต่อมไขมันอยู่ ต่อมเหงื่อในร่างกายเรามีอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน คือ ต่อมเหงื่อน้ำใส เป็นเหงื่อน้ำใสๆ ที่ผุดตามผิวหนัง ฝ่ามือฝ่าเท้า แผ่นหลัง ต่อมเหงื่อชนิดนี้ไม่มีกลิ่น จุดสำคัญที่สุดของกลิ่นตัวคือต่อมเหงื่อน้ำข้น ซึ่งมีชื่อเรียกว่า aprocrine ซึ่งจะมีเฉพาะจุด เช่น ศีรษะ รักแร้ หัวนม อวัยวะเพศ ต่อมเหงื่อชนิดนี้ซึ่งจะเริ่มทำงานเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น มีหน้าที่สร้างสารที่มีกลิ่นคล้ายฟีโรโมน สารชนิดนี้มีสีขาวขุ่น ในระยะแรกที่หลั่งออกมา จะไม่มีกลิ่น หลังจากถูกย่อยโดยเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งอาศัยอยู่บนผิวหนังจึงทำให้เกิดกลิ่นเกิดขึ้น
คนแต่ละคนจะมีกลิ่นเฉพาะตัว แต่คนเรามีประสาทจมูกไม่ไว จึงอาจจะแยกไม่ออก ทราบแต่ว่ามีกลิ่นเหม็นเท่านั้น แต่ในสัตว์บางชนิด เช่น สุนัข ซึ่งมีประสาทจมูกดีมากจะสามารถแยกบุคคลได้ นอกจากนั้น กลิ่นตัวอาจแตกต่างตามเชื้อชาติ เช่น ในคนผิวดำจะมีกลิ่นตัวรุนแรงกว่าคนผิวขาว ซึ่งเกิดจากมีต่อมกลิ่นขนาดใหญ่และผลิตไขมันมาก กลิ่นตัวจะแรงขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ซึ่งเป็นอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ เมื่อร่างกายถูกกระตุ้นด้วยฮอร์โมน ในช่วงเปลี่ยนจากวัยเด็กสู่หนุ่มสาว ต่อมเหงื่อน้ำข้นก็จะเริ่มทำงาน และโปรตีนกับไขมัน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเหงื่อชนิดนี้จะถูกขับออกมาตามรูขุม ขน เมื่อเหงื่อสัมผัสกับเชื้อแบคทีเรีย ก็จะเกิดการเน่าเปื่อยของหนังกำพร้า และมีกลิ่นตามมา โดยเฉพาะบริเวณที่มีขนและอับชื้น และมีการปรับองค์ประกอบบางอย่าง ในไขมันที่ขับออกมา
บริเวณที่มักเกิดปัญหาคือ หนังศีรษะ (เส้นผม) ซึ่งเป็นส่วนที่ต่อมไขมันใต้ผิวหนังเจริญได้ดี พวกแบคทีเรียต่างๆ มักจะเกาะอยู่บนไขมันที่ผิวหนังขับหลั่งออกมา จนเกิดเป็นกลิ่นผมหรือกลิ่นขี้หัว นอกจากนี้ผมยังมีคุณสมบัติในการเก็บ และกระจายกลิ่นอีกด้วย อีกที่หนึ่งคือรักแร้ กลิ่นรักแร้นี้จะมาพร้อมกับขนที่งอกออกมาเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น และกลิ่นจะแรงมากขึ้น เมื่อเป็นวัยรุ่น แม้จะทำความสะอาด้วยการอาบน้ำ ทาแป้ง หรือใช้โรลออนดับกลิ่นแล้ว ก็ปกปิดกลิ่นได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น กลิ่นจะยังไม่หายไปอย่างถาวร นอกจากนี้ ในเด็กผู้หญิงกลิ่นรักแร้ก็จะเปลี่ยนไปตามช่วงการมีรอบเดือนด้วย
นอกจากกลิ่นตัวจะมีสาเหตุจาก ธรรมชาติของร่างกายทำปฏิกิริยากับแบคทีเรียที่ อยู่ตามผิวหนังแล้วยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ อีกมากมายที่ทำให้คนเรามีกลิ่นตัว ซึ่งบางปัจจัยก็อาจหลีกเลี่ยงได้
ปัจจัยของกลิ่นตัว
- สภาพอากาศ ในฤดูร้อน หรือภาวะที่มีอากาศร้อนชื้น เชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังจะเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็ว แบคทีเรียเหล่านี้จะย่อยสลายเหงื่อที่หลั่งจากต่อม aprocrine, ไขมันจากต่อมไขมันและเซลล์ผิวหนังได้เร็วขึ้น จึงทำให้กลิ่นตัวเกิดขึ้นได้ง่ายและรุนแรงขึ้น
- เสื้อผ้า เสื้อผ้าที่หนาหรือผ้าบางชนิด เช่น ผ้าไยสังเคราะห์จะทำให้เหงื่อระบายช้า ผิวหนังจึงมีความอับชื้น ทำให้ปริมาณแบคทีเรียบนผิวหนังเพิ่มขึ้น และเกิดกลิ่นตัวง่ายขึ้น
- อารมณ์ อารมณ์เครียด โกรธ ตกใจ จะกระตุ้นให้ต่อม eccrine ใต้รักแร้ หน้าผาก และฝ่ามือหลั่งเหงื่อออกมามากขึ้น ทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวมีความชื้นมากขึ้น แบคทีเรียที่ผิวหนังจึงมีจำนวนมากขึ้น
- อาหารหรือยาบางชนิด เช่น อาหารที่มีสาร choline สูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ตับ และพืชประเภทฝักถั่วหรือพวกหัวหอม กระเทียม เครื่องเทศ หรืออาหารเผ็ดร้อน เค็มจัด หวานจัด หรือรับประทานอาหารซ้ำๆ ไม่เป็นเวลา ล้วนแต่เร่งให้ต่อมเหงื่อขับ ไขมันออกมากขึ้นด้วย
- โรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคเก๊าท์ โรคทางสมอง โรคตับ โรคไต มะเร็ง หรือการติดเชื้อที่ไม่ได้รับการรักษา เช่น โรคฮ่องกงฟุตที่เกิดจากเชื้อรา เป็นสาเหตุหลักของกลิ่นเหม็นที่เท้า
- ภาวะผิดปกติทางระบบภายในร่างกาย เช่น ระบบเผาผลาญอาหารบางชนิด ระบบการย่อยของเอนไซม์ ร่างกายจะสร้างสารเคมีบางอย่างที่มีกลิ่น และขับออกมาทางเหงื่อ
- ยาบางชนิด ก็เป็นสาเหตุของกล่นตัวได้ เช่น การใช้ยาทารักษาสิวทั่วไปที่มีส่วนผสมของ benzoyl peroxide ผสมอยู่บ่อยๆ
วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นตัว
- อาบน้ำทำความสะอาดตัวอย่างสม่ำเสมอ: อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยต้องอาบอย่างทั่วถึงทุกซอกทุกมุมในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณอับชื้นหรือข้อ พับที่กล่าวแล้ว
- ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย (deodorants): ในกรณีที่อาบน้ำดีแล้วยังมีกลิ่นตัวก็ต้องแก้ไข โดยทำให้เหงื่อหรือ ไขมันออกน้อยลง เช่น การใช้ยาระงับเหงื่อทา หรืออาจใช้สารส้มทาก็ได้อีก ทางหนึ่งก็คือการทำลาย เชื้อแบคทีเรียและ เชื้อโรคที่ผิวหนัง เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งมักอยู่ในรูปของสบู่ หรือผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์ ระงับกลิ่นตัวอื่นๆ สารเหล่านี้จะช่วยลดปริมาณของเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนัง จึงช่วยระงับกลิ่นตัวโดยเฉพาะ หรือการทายาปฏิชีวนะ เช่น ยาปฏิชีวนะชนิดขี้ผึ้งที่มีตัวยา นีโอไมซิน 0.5% ทาใต้รักแร้ทุกวันหลังอาบน้ำ หรือยาฆ่าเชื้อรา ในบางรายอาจต้องใช้ การรับประทานยาร่วมด้วย
- ส่วนผสมของยาดับกลิ่นตัวที่มีจำหน่ายทั่วไป ส่วนใหญ่ประกอบด้วย สารยับยั้งการหลั่งเหงื่อ (antiperspirants) ได้แก่ สารประเภทอลูมิเนียม หรือเซอร์โคเนียม ซึ่งอาจอยู่ในรูปของลูกกลิ้ง สเปรย์ เจลแท่ง หรือครีม สารพวกนี้จะทำปฏิกิริยากับ เหงื่อทำให้เกิดการอุดตันในท่อต่อมเหงื่อชนิด eccrine จึงระงับการหลั่งเหงื่อ และลดความชื้นของผิวหนังใต้รักแร้ได้ โดยทั่วไป สารเหล่านี้จะทำให้ท่อของต่อมเหงื่ออุดตันอยู่ 2 -4 วัน จึงต้องใช้ทุกวันจึงจะได้ผลดี ส่วนประกอบที่สำคัญอีกอย่างก็คือ น้ำหอม ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นนั่นเอง แต่การใช้ยาดับกลิ่นก็มีข้อควรระวังอยู่นิด คือ อาจเกิดอาการแพ้ ผิวหนังอักเสบได้
- ใช้เครื่องหอม น้ำหอม โอดิโคโลญ สบู่ หรือครีมอาบน้ำที่ผสมน้ำหอม กลิ่นหอมจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยกลบกลิ่นตัวได้
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ดังที่กล่าวมาในข้างต้นแล้ว นอกจากนี้โภชนบำบัดอาจช่วยได้ คือ ใช้อาหารเสริม เช่น ธาตุสังกะสี วันละ 30 มก. วิตามินบี 6 วันละ 100 มก. หรือแมกนีเซียม ซึ่งกล่าวกันว่าช่วยกำจัดกลิ่นเหงื่อในบางรายได้
- จากที่กล่าวมาแล้วว่าโรคภายในบางอย่างก็อาจทำให้มีกลิ่นตัวแปลกๆ ได้ ดังนั้นถ้ามีกลิ่นตัวก็ควรหมั่นดูแลความสะอาดหรือ ถ้าไม่แน่ใจก็มาปรึกษา แพทย์ก็ได้นะคะ การรักษาอื่น ๆ ได้แก่ การผ่าตัดเอาต่อมเหงื่อออกหรือการฉีดยา เพื่อลดการทำงาน ของต่อมเหงื่อ ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้วิธีการเหล่านี้เฉพาะในรายที่มีอาการรุนแรง หรือใช้วิธีต่าง ๆ ข้างต้นไม่ได้ผล ซึ่งตรงนี้ต้องเป็น หน้าที่ของแพทย์ที่จะวินิจฉัยว่าวิธีใดเหมาะสม
- เสื้อผ้าก็มีความสำคัญเช่นกัน บ่อยครั้งที่กลิ่นตัวเป็นกลิ่นของเสื้อผ้า อันเป็นผลมาจากเชื้อแบคทีเรียจากเหงื่อที่ถูกทิ้งค้างไว้บนเสื้อผ้า ดังนั้นเสื้อผ้าต้องสะอาด ผ่านการซักล้างและตากให้แห้งสนิทก่อนการสวมใส่ รวมถึงพวกเสื้อชั้นใน เสื้อกล้าม ถุงเท้า ถุงน่อง เป็นต้น ทั้งนี้ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้า cotton, linin หรือ silk ส่วนเส้นใยสังเคราะห์จะเป็นตัวอุปสรรค ขัดขวางกระบวนการทำงานตามปกติของผิว หนัง และยังส่งผลลดทอนระบบไหลเวียนของออกซิเจน เป็นตัวเสริมให้แบคทีเรียจากเหงื่อ แสดงปฏิกิริยาได้ดียิ่งขึ้น การสวมเสื้อผ้าก็ควรใส่หลวมๆ เพื่อช่วยให้อากาศถ่ายเทได้ดีกว่าการใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นเกินไป ส่วนเรื่องการกำจัดกลิ่นตัวที่ตกค้างบนเสื้อผ้า ถ้าซักด้วยผงซักฟอกยังไม่ออก ให้ลองแช่ผ้าในน้ำเกลืออุ่นอย่างน้อย 1 ชั่วโมง โดยใช้เกลือ 3 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำประมาณ 1 ลิตร
ขอแนะนำวิธีบำบัดตามธรรมชาติ ขนานที่ 1 ใช้สารส้มถูทาที่รักแร้หลังจากอาบน้ำทุกครั้ง ทาขณะที่รักแร้ยังเปียกอยู่หรือเอาสารส้มสะตุ ผสมพิมเสนอย่างละเท่าๆ กันบดให้ละเอียด ผสมแป้งฝุ่นหรือดินสอพองหยดน้ำลงไปนิดหน่อย ทาที่ รักแร้ปล่อยให้แห้ง (บางคนใช้สารส้มแล้วรักแร้ดำขึ้น) ขนานที่ 2 ใช้ใบพลูที่กินกับหมาก ขยี้แล้วทารักแร้หลังอาบน้ำ ขนานที่ 3 ใช้ใบฝรั่งโขลกให้ละเอียดทารักแร้หลังอาบน้ำ ขนานที่ 4 ใช้ปูนแดงผสมน้ำทารักแร้หลังอาบน้ำ (อย่าใช้ปูนแดงมาก เพราะจะกัดเนื้อได้) ขนานที่ 5 หยดน้ำมันที่สกัดจากสะระแหน่ 2-3 หยด ลงในอ่างอาบน้ำ เนื่องจากสะระแหน่มีคุณสมบัติเป็นยาดับกลิ่นตามธรรมชาติ
ข้อมูลจาก http://www.pharm.su.ac.th/thai/organizations/dis/webboards/showqanswer.asp?qno=259
สรุป น้องควรหาสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวของตนเองจาหนั้นพยายามแก้ที่สาเหตุ โดยทั่วไปแล้วมักเกิดจากอาหารที่รับประทานมีกลิ่นแรงตามที่บอกแล้ว คือ เนื้อสัตว์ ไข่ ตับ และพืชประเภทฝักถั่วหรือพวกหัวหอม กระเทียม เครื่องเทศ หรืออาหารเผ็ดร้อน เค็มจัด หวานจัด หรือรับประทานอาหารซ้ำๆ ไม่เป็นเวลา และสาเหตุที่สำคัญอีกอย่างคือเชื้อแบคทีเรีย...จึงควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่สามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียได้(สบู่ที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งแบคทีเรีย) ซึ่งมีขายทั่วไปค่ะ ....ลองดูนะคะ..พี่เข้าใจใครๆก็อยากตัวหอมและก็อยากดูดีด้วยกันทั้งนั้น....โชคดีค่ะ |
|