ความคิดเห็นที่
5 |
|
คุณนาย |
|
04 กันยายน 2009
00:35:30 |
|
|
IP :
202.149.25.197 |
|
การฉีดกลูตาไธโอน(บทความจาก นพ.โกสินทร์)
Q : ดิฉันเพิ่งไปพบเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปี เขาเป็นคนคล้ำหน้าตาก็ไม่ใส แต่คราวนี้ทำเอาดิฉันอึ้งไปเลยค่ะ เพราะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ผิวใสทั่วตัว เขาบอกว่าไปฉีดวิตามินทางเส้นเลือดมา อยากทราบว่าคืออะไรค่ะ
A : สารอาหารที่กำลังได้รับความนิยมที่กล่าวถึงคือ กลูตาไธโอน (Glutathione) ปัจจุบันเริ่มมีโรงพยาบาลและคลินิคชั้นนำหลายแห่งนำมาใช้ฉีดเป็นสารอาหารให้กับร่างกาย ตามธรรมชาติ ร่างกายสามารถสร้างกลูตาไธโอนนี้ได้อยู่แล้ว พบมากบริเวณตับ แต่เมื่อายุมากขึ้นจะสร้างได้น้อยลงตามลำดับ
สารอาหารกลูตาไธโอนนี้มีคุณประโยชน์มากมายออกฤทธิ์ในระดับเซลล์ ทำให้เกิดพลังงาน เกิดความกระชุ่มกระชวย อ่อนเยาว์ ทั้งยังเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) ในร่างกาย คอยกำจัดอนุมูลอิสระ (Free radicals) ตัวร้ายที่ทำให้เซลล์ร่างกายเสื่อมสภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่เรามักไม่ได้รับจากการรับประทานอาหารตามธรรมชาติหรือจากอาหารเสริมสักเท่าไหร่ เพราะว่าถูกทำลายได้ง่ายบริเวณลำไส้
สารกลูตาไธโอนนี้มีประโยชน์มากมายโดยใช้ป้องกันความเสื่อมของร่างกาย เพิ่มระบบภูมิต้านทาน และการนำของระบบภายในร่างกาย
ในด้านผิวพรรณยังออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีที่มากเกินไปทั่วร่างกาย จึงทำให้คนที่ได้รับสารอาหารชนิดนี้มีผิวพรรณที่ผุดผ่อง ขาวใส หรือดูมีสุขภาพผิวที่ดีกว่าคนทั่วไป
Q : ฉีดกันอย่างไรค่ะ มีข้อแทรกซ้อนอะไรบ้าง และฉีดได้บ่อยแค่ไหนค่ะ
A : สามารถฉีดได้สอง วิธี คือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ และเข้าทางเส้นเลือด ขนาดที่ได้ผลดีคือ 600 มิลลิกรัมต่อสัปดาห์ แต่การฉีดทางกล้ามเนื้อค่อนข้างปวดและเห็นผลได้ช้ากว่า เพราะสารอาหารจะค่อยๆออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย
ในขณะที่การฉีดเข้าทางหลอดเลือด จะเห็นผลได้ชัดเจนกว่า เพราะสามารถออกฤทธ์ได้ทันทีทั่วร่างกาย มักฉีดร่วมกับวิตามินซีเข้าทางเส้นเลือดช้าๆประมาณ 10-15 นาที จะทำให้ระดับวิตามินซีออกฤทธิ์ในร่างกายได้ดีขึ้น
โดยสารอาหารทั้งสองชนิด (กลูตาไธโอน+วิตามินซี) จะทำงานเสริมฤทธิ์กันในด้านผิวพรรณ จึงทำให้ผิวสดใส ป้องกันความเสื่อม และทนต่อแสงแดดได้ดีขึ้น
ปัจจุบันยังไม่พบว่ามีข้อแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย เพราะล้วนเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการ ไม่ใช่ยาหรือสารแปลกปลอม แต่ต้องฉีดโดยแพทย์หรือพยาบาลที่มีประสบการณ์เพื่อป้องกันการติดเชื้อ โดยไม่ควรฉีดในรายที่มีปัญหาโรคลมชัก เบาหวาน โรคเลือด สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร
สามารถฉีดได้สัปดาห์ละครั้ง ติดต่อกันประมาณ 3-5 สัปดาห์ แล้วเว้นระยะห่างออกไปตามความเหมาะสม โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทางที่ดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรก เช่นผิวดูสดใส ร่างกายกระชุ่มกระชวย แผลหายได้เร็วขึ้น แต่อาจไม่ชัดเจน โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงในครั้งที่ 3-4 ทั้งนี้ขึ้นกับการตอบสนองของแต่ละคนแบะตัวอนุมูลอิสระที่มีอยู่เดิมในร่างกายที่แตกต่างกัน คล้ายๆกับการล้างพิษ หากพิษมากหรือมีความเสื่อมมากก็ต้องใช้สารอาหารหรือตัวต้านอนุมูลอิสระมากขึ้น เมื่อสภาพร่างกายได้รับการฟื้นฟูผิวสดใสจนเป็นที่พอใจแล้วก็ไม่จำเป็นต้องฉีดเป็นกระจำ สามารถฉีดได้เป็นครั้งคราว เสมือนนักกีฬาที่อ่อนล้าก็ฉีดวิตามินบำรุงร่างกายสักหน่อย พบว่าหลังฉีดกลูตาไธโอนและวิตามินซีเข้าไปในร่างกายจะอยู่ได้นาน 2 เดือนโดยประมาณ แล้วค่อยๆลดระดับลงเรื่อยๆจนหมดไป
ขอบคุณเครดิต : แพรว คอลัมน์ Beauty Quiz นพ.โกสินทร์ แจ่มเพ็ชรรัตน์
สีผิวของคนเรา ในแต่ละคน จะแตกต่างกันตามเชื้อชาติ กรรมพันธุ์ บางคนสีผิวขาว บางคนดำคล้ำ ความแตกต่างนี้ ทำให้ได้มีการแบ่งแยกสภาพสีผิวคนเรา ออกมาเป็น 5 สีผิว( Skin type) โดยมีชนิดของ Melanin และจำนวนของเมลานิน และตัวสร้างเมลานินเอง (Melanocytes) ที่บ่งบอกความแตกต่าง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม มนุษย์เราก็ได้พยายามคิดค้นหาวิธีการในการพยายามเปลี่ยนแปลงสีผิวให้ได้อย่างที่ตนเองพอใจ โดยเฉพาะสีผิวของคนแถบเอเซีย ที่ต้องการผิวขาวอย่างคนทางตะวันตก ซึ่งตอนนี้สาร Glutathione กำลังเป็นสารที่กำลังฮิต และได้รับความนิยมกันมาก ว่าช่วยทำให้สีผิวของร่างกายขาวขึ้น ได้ทั้งตัว Glutathione เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ( Antioxidant) ตัวหนึ่งที่ร่างกายสังเคราะห์ได้เองเรียกว่า Universal Antioxidant เกิดจากการจับตัวกันในรูปแบบ Tri-peptides ของกรดอะมิโน3 ชนิด ได้แก่ Cysteine,Glycine และ Glutamic โดยมีหน้าที่หลักๆ สำคัญดังต่อไปนี้ >1.การขจัดสารพิษ (Detoxification) กลูต้าไธโอน ช่วยสร้างเอ็นไซม์ ชนิดต่างๆ ในร่างกายโดยเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ (ละลายในน้ำมัน) เช่นพวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิดให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้นและง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับ จากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์(สุรา) สารพิษจากบุหรี่ >2. ต้านปฏิกริยาอ๊อกซิเดชั่น(Antioxidant) และยังส่งเสริมให้วิตามินซี และวิตามินอี ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และทำงานได้เต็มที่มากขึ้น จึงช่วยลดเลือนริ้วรอยตามวัยได้ >3. กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย (Immune Enhancer) ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยกระตุ้น การทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอมรวมทั้งเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้ กลูต้าไธโอน ยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีน >4. ทำให้สีผิวขาวขึ้นได้ โดยอาศัยกลไกการทำงานที่มีคุณสมบัติในการไปยับยั้งการทำงานของ Tyrosinase ทำให้ Tyrosine ไม่สามารถเปลี่ยนไปเป็น DOPAquinone เป็นสารต้นแบบของ Dopachrome, DHI....Pheomelanin,Eumelanin
ผลลัพท์คือทำให้ ผิวหน้าสวย ขาวใส ไร้รอยด่างดำ รวมถึง ผิวทั่วเรือนร่าง เช่น ผิวใต้วงแขน ผิวบริเวณข้อพับและขาหนีบ สีผิวริมฝีปาก จะขาวอมชมพูขึ้น รวมถึงยอดหน้าอกด้วย จากคุณสมบัติของการเป็น Whitening ของสาร Gluthathione นี้เอง ทำให้ได้มีการทำการสังเคราะห์สารตัวนี้ขึ้นมาทางกรรมวิธีทางเคมี เรียกว่าสาร L-Glutathione ซึ่งก็คือ Glutathione นั่นเอง แต่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือไม่ได้จากการสกัดจากพืชพรรณธรรมชาติ โดยอาจจะอยู่ในรูปของอาหารเสริม ยาฉีด หรือตัวยาที่นำผสมกับไวเทนนิ่งตัวอื่นๆ เป็นคอกเทล แล้วนำมาฉีดด้วย เทคนิค Mesotherapy ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้สีผิวขาวขึ้นได้และเป็นที่ยอมรับกันก็ มีมากมายหลายตัว เราเรียกสารกลุ่มนี้ว่า Whitening Agents แต่ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในรูปสารผสมหลายตัว ทั้งในรูปของครีมทาผิว และครีมรักษารอยด่างดำ หรือฝ้า กระ ส่วนที่ผลิตออกมาในรูปของอาหารเสริม หรือกลุ่มยาฉีด ที่ช่วยปรับสีผิวให้ขาวทั้งตัว ที่มีรายงานรับรองผล และเห็นผลชัดสุด และปลอดภัย และมีการนำออกมาจำหน่ายในท้องตลาด ก็น่าจะเป็น Glutathione , Vit C และสารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศส โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.ในรูปของอาหารเสริม Glutathione มักจะไม่มีวางจำหน่ายเดี่ยวๆ มักจะผสมในรูปของอาหารเสริมที่ประกอบด้วยวิตามินซี และสารสกัดจากเปลือกสน เพื่อสะดวกในการรับประทาน โดยพบว่าขนาดยาที่แนะนำให้รับประทานที่เหมาะสม และทำให้สีผิวขาวทั้งตัวได้ คือ ปริมาณGlutathione 500 มก.ต่อวัน + Vit C 3,000 มก.ต่อวัน โดยมีรายงานวิจัย พบว่า glutathione ควรแบ่งกินขนาด 250 mg เช้า เย็น หลังอาหาร โดยจะให้ผลในเรื่องการดูดซึมที่ดี และถ้าจะให้ได้ผลดีในการกระตุ้นระดับ Glutathione ในร่างกายให้สูงขึ้น ควรจะทานควบคู่กับวิตามินซี โดยการแบ่งเวลารับประทานให้สะดวกและใกล้เคียงกัน ส่วนถ้าจะกิน vit E ร่วมด้วยก็ได้ครับ เพราะจะไปช่วยให้vit c ทำงานดีขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับ งบประมานด้วย พบว่าหลังรับประทานจะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงภายใน 3-4 เดือน แต่ควรจะรับประทานต่อเนื่อง เพราะผลที่ได้ไม่ถาวร เนื่องจากปัจจัยการเปลี่ยนสีผิว ยังเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นๆ ทั้งภายในร่างกายเอง หรือภายนอกร่างกาย เช่น แสงแดด เป็นต้น 2 ในรูปของยาฉีด ซึ่งปัจจุบันมีการนำ Glutathione 600 มก. (4 ซีซี) มาผสมกับวิตามินซี 2 ซีซี นำมาฉีดเข้าเส้นเลือดและเข้ากล้าม พบว่าจะทำให้ได้ผลในเรื่องสีผิวได้เร็วขึ้น ภายใน 1-2 เดือน โดยนำมาฉีดทุกอาทิตย์ การฉีดทั้งสองวิธี จะได้ผลพอๆ กัน แต่นิยมฉีดเข้าเส้นเลือดมากกว่า เพราะไม่ค่อยเจ็บมากนัก แต่ในรายที่เส้นเลือดเปราะบาง หรือหาเส้นเลือดยาก อาจจะใช้วิธีแบ่งฉีดเข้ากล้ามเนื้อ( สะโพก) แทน ซึ่งจะเจ็บมากกว่า ก็แล้วแต่จะเลือกวิธีใดนะครับ ท่านที่ต้องการทราบข้อมูลโดยละเอียดเพิ่มเติม ผมได้เขียนบทความไว้แล้วเพื่อให้เข้าใจได้มากขึ้นดังนี้ 1.บทความเรื่อง สีของผิวหนัง(Skin colors) อ่านบทความได้ที่นี่ http://www.clinicneo.co.th/2007/detailcolumn.php?grp=6&sdata=&col_id=21 2.บทความเรื่อง กลไกการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin-Biosynthesis Pathway) อ่านบทความได้ที่นี่ http://www.clinicneo.co.th/2007/detailcolumn.php?grp=4&sdata=&col_id=21 3.บทความเรื่อง กลไกการออกฤทธิ์ของสารไวเทนนิ่งต่อขบวนการสร้างเม็ดสี อ่านบทความได้ที่นี่ http://www.clinicneo.co.th/2007/detailcolumn.php?grp=4&sdata=&col_id=21 4. ตัวอย่างค่าใช้จ่ายในการใช้ Glutathione+วิตามนซี ในการปรับสีผิวให้ขาวขึ้นทั้งตัว คลิกที่นี่ http://www.clinicneo.co.th/2007/newservice/service7.htm
เรียบเรียงและค้นคว้าโดย นพ.จรัสพล รินทระ ขอบคุณเครดิตจากเวบ www.clinicneo.co.th
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม 083-2099996 kitty_smile_001@hotmail.com |
|