|
Yim |
วันที่ |
28 กุมภาพันธ์ 2009 |
เวลา |
14:45:34 |
|
IP |
114.128.105.109 |
|
|
|
เซ็นทรัลโชว์ยอดขายทะลุ1.12แสนล.เชียร์4มาตรการนายกฯดันเศรษฐกิจฟื้น
|
"เซ็นทรัล กรุ๊ป" หนุนรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ คลอด 4 มาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ "เร่งรัดเบิกจ่ายสู่รากหญ้า - ดูแลคนตกงาน - อุ้มภาคการผลิตและบริการ - ลด VAT" หวังครึ่งปีหลังส่งสัญญาณสดใส ดึงนักลงทุนต่างชาติเข้าไทย หลังเศรษฐกิจพ่นพิษยืดเวลาลงทุน 3 โครงการยักษ์ทั้งเชียงราย เชียงใหม่ สวนลุมไนท์ฯ และแผนบุกอินเดีย เวียดนาม มั่นใจทั้งกรุ๊ปโต 11% ฟันยอดขายทะลุ 1.12 แสนล้านบาท
นายสุทธิชัย จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการ บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า กลุ่มเซ็นทรัลยังเชื่อมั่นในมาตรการของรัฐบาลที่เดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจ อย่างต่อเนื่อง เพราะในปีที่ผ่านมาปัญหาเศรษฐกิจการเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อประเทศที่กำลังพัฒนาและประเทศที่เกิดใหม่อย่างรุนแรง ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมเกิดการชะลอตัวต่อเนื่องมาถึงปีนี้ และคาดว่าจะยาวไปจนถึงครึ่งปีแรก ก่อนที่จะค่อยๆ ฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง แต่ทั้งนี้รัฐบาลเองจะต้องมีการกำหนด
นโยบายและมาตรการต่างๆ ออกมาเพื่อสนับสนุน ประกอบไปด้วย การเร่งรัดงบเบิกจ่ายสำหรับการลงทุนในโครงการของภาครัฐ และเอกชนเพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย
มาตรการดูแลแรงงานที่ประสบปัญหาการตกงาน , มาตรการดูแลกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต การบริการที่เป็นจุดแข็งของไทย เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ส่งออก อสังหาริมทรัพย์ และภาคการเกษตร นอกจากนี้รัฐบาลควรลดการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อกระตุ้นให้นักลงทุนต่างชาติ เข้ามาลงทุน เพราะปัจจุบันจะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีมาตรการด้านภาษีที่สูงกว่าประเทศ เพื่อนบ้าน เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญ ทั้งนี้แม้มาตรการการลดภาษีอาจจะทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ไปบ้าง แต่ในระยะยาวจะส่งผลดีต่อภาคการลงทุนทั้งระบบ
"ในปี 2552 ทุกธุรกิจคงได้รับผลกระทบ แต่ประเทศไทยอาจจะดีกว่าทางอเมริกา หรือยุโรป โดยในครึ่งปีแรกเอกชนอาจจะชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจ และค่อยกลับมาลงทุนในครึ่งปีหลัง รวมทั้งเอกชนไทยจะมีการปรับตัวเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์โดยเฉพาะการหาตลาด ส่งออกใหม่ๆ"
สำหรับแผนการลงทุนของกลุ่มเซ็นทรัล ในปีนี้ จะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 19,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 24% โดยจะมีทั้งการลงทุนต่อเนื่องในโครงการเดิมและการลงทุนในโครงการใหม่ แบ่งออกเป็น การลงทุนในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก (ซีอาร์ซี) 9,200 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 48% กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (ซีพีเอ็น) 6,400 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 34% กลุ่มธุรกิจค้าส่ง (ซีเอ็มจี) 190 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1% กลุ่มธุรกิจโรงแรม (ซีเอชอาร์) 2,900 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 15% กลุ่มธุรกิจเรสเตอรองต์ (ซีอาร์จี) 310 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2% โดยบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมียอดขายรวม 112,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 11% ขณะที่ในปี 2551 บริษัทมียอดขายรวม 101,700 ล้านบาท มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 7%
"บริษัทพอใจในสัดส่วนการเติบโตในปีก่อน ซึ่งแม้จะต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโต 10% หลังต้องประสบปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศ ส่วนในปีนี้ที่ตั้งเป้าหมายสูง เพราะในปีนี้มีโครงการใหม่เปิดให้บริการ และจะทำรายได้ให้กับกลุ่ม นอกจากนี้เชื่อว่ารัฐบาลจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้"
ด้านนายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหารฝ่ายปฏิบัติการ ดูแลกลุ่มธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะลงทุนแบบระมัดระวังมากขึ้น ทั้งโครงการในและต่างประเทศ โดยก่อนหน้านี้บริษัท ได้ศึกษาแผนการลงทุนในต่างประเทศไว้ 2-3 ประเทศ อาทิ อินเดีย เวียดนาม แต่ยังไม่ได้สรุป เพราะต้องรอดูสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจในทั่วโลก เพราะถึงแม้วิกฤติเศรษฐกิจจะทำให้มีโอกาสได้ของถูก แต่ถ้าไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่จะไป ก็ต้องปฏิเสธการลงทุนเพราะจะได้ไม่คุ้มเสีย
"ในอินเดีย และเวียดนาม จะยังคงศึกษาต่อไป แต่อาจจะชะลอแผนการลงทุนออกไป ทั้งการพัฒนาเป็นโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ หรือค้าปลีก เพราะหากดูข้อมูลย้อนหลังในประเทศเวียดนามจะพบว่าไม่มีโครงการอะไรใหม่ๆ ขึ้นเลย เพราะนักลงทุนต่างมองว่า ที่ดินแพง แม้จะมีข้อเสนอต่างๆ มาช่วยสนับสนุนแต่ก็ไม่คุ้มหากพัฒนาเป็นอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่โครงการในประเทศ ทั้งศูนย์การค้าที่จ.เชียงราย ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ สาขา 2 และโครงการสวนลุมไนท์บาซาร์ ยังไม่ได้ชะลอการลงทุนแต่เป็นการศึกษาให้ละเอียด เพราะการออกแบบทำเกือบเสร็จ จึงทำไปแบบเรื่อยๆ หากต้องลงทุนในระหว่างนี้ น่าจะเป็นผลดีเพราะค่าวัสดุก่อสร้างถูก แต่ก็ไม่รีบร้อนที่จะลงทุน"
ที่มา http://www.thannews.th.com/detialnews.php?id=T012404p&issue=2404 |
|
|