|
เสี่ยวเอ้อ |
วันที่ |
08 มีนาคม 2009 |
เวลา |
11:46:27 |
|
IP |
202.176.126.27 |
|
|
|
น้ำแข็งอาร์กติกมีโอกาสละลายจนหมดในปี 2556
|
นักวิทยาศาสตร์สำรวจพื้นที่คาบสมุทรอาร์กติก ตอนเหนือของแคนาดา พบ ก้อนน้ำแข็งจำนวนมากกำลังละลาย อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น 15 องศา คาดน้ำแข็งในเขตนี้มีโอกาสละลายจนหมดใน พ.ศ. 2556 (ค.ศ.2013) และระดับน้ำที่สูงขึ้นเนื่องจากน้ำแข็งละลายในตอนนี้ส่งผลให้การเดินเรือสายเอเชีย-ยุโรป ไม่สามารถใช้เส้นทางทะเลเหนือได้
จาก การศึกษาครั้งล่าสุดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลกบอกว่า คาบสมุทรอาร์กติกบริเวณขั้วโลกเหนือกำลังร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วจนอาจทำให้น้ำ แข็งที่ปกคลุมอยู่ละลายลงจนหมดในปี 2556 ซึ่งเร็วกว่าที่เคยคาดการกันเอาไว้ถึงสิบปี วอร์วิ ค วินเซนท์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพื้นที่เขตตอนเหนือจากมหาวิทยาลัยลาวัลในเมืองควิเบก กล่าวว่า ข้อมูลชุดนี้ "ดูเหมือนจะติดตามร่องรอยจากโมเดลที่มองโลกในแง่ร้ายที่สุด" เขายังกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์อีกว่า "การพูดถึงเหตุที่จะเกิดขึ้นในปี 2556 เริ่มถูกมองว่าอย่างเป็นเหตุเป็นผลมากกว่าเป็นการทำนาย"
"แต่ทุกปีๆ เราก็คาดผิดมาตลอด ทุกปีที่ผ่านมาเรามักจะพบว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราคาดทีละเล็กละน้อยเสมอ" วินเซนท์กล่าว
ความเสียหายที่ไม่อาจหยุดยั้ง
มีทีมนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งใช้เวลาสิบปีก่อนหน้านี้อยู่ในเกาะ วอร์ด ฮันท์ เกาะที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือห่างออกไป 4 พันกิโลเมตร จากเมืองออตตาวา ประเทศแคนาดา นักวิทยาศาสตร์ทีมนี้ศึกษาเกี่ยวกับน้ำแข็งที่ปกคลุมอยู่ช่วงฤดูร้อนในคาบ สมุทรอาร์กติกของแคนาดา ห่างจากขั้วโลกเหนือไม่มากนัก
หลัง จากที่วินเซนท์ได้รายงานสิ่งที่ค้นพบให้กับรัฐสภาฟังแล้ว เขาก็บอกว่า "ผมแปลกใจว่าทำไมการเปลี่ยนแปลงถึงเกิดขึ้นเร็วมาก สิ่งที่เราไม่เคยพบมาก่อนเลยในช่วงที่ผมทำงานเมื่อสิบปีที่ผ่านมาคือ การที่แหล่งน้ำตามธรรมชาติมีการขยายตัวขึ้น"
"พวก เรากำลังพ่ายแพ้ อย่างไม่มีทางหวนกลับ สิ่งที่เกิดขึ้นกับพื้นน้ำแข็งของแคนาดากำลังแสดงให้เห็นให้เห็นว่า โมเดลที่มองในแง่ร้ายที่สุดนี้เริ่มเข้าใกล้ความจริงเข้าไปทุกที"
ขั้วโลกเหนือมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับที่อื่นในโลก และพื้นที่น้ำแข็งที่ปกคลุมทะเลอยู่ก็ลดจำนวนลงมากในปี 2550 ก่อนจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปี 2551
นักวิจัยบอกว่าความเสียหายบางอย่างจะคงอยู่ตลอดไป และการที่ขั้วโลกเหนือร้อนขึ้นก็เป็นสิ่งบ่งชี้อะไรบางอย่างที่ทั่วทั้งโลกนึกถึง
"มี ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมบางอย่างที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ พวกเราอยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน เมื่อใดก็ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เมื่อนั้นเราก็ไม่อาจย้อนกลับไปได้ ตัวอย่างเช่น การที่ก้อนน้ำแข็งเหล่านี้สูญไป" วินเซนท์กล่าว
"แต่ สิ่งที่เราทำได้คือการทำให้กระบวนการนี้ช้าลง และเราก็ควรจะทำให้มันช้าลง เพราะว่าเราต้องการจะยื้อเวลาไว้มากกว่านี้ พวกเราไม่มีเทคโนโลยีที่จะเป็นอารยธรรมสำหรับต่อกรกับความไม่มั่นคง ซึ่งกำลังจะเกิดกับเราในวันข้างหน้า"
ในปี 2547 คณะปฏิบัติงานหลักของนานาชาติ พยากรณ์ว่าพื้นที่ที่เป็นน้ำแข็งปกคลุมจะหายไปภายในปี 2643 ส่วนในเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมาผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่าน้ำแข็งในฤดูร้อนจะหมดไปภายใน 10 หรือ 20 ปี
ข้อสรุปที่สำคัญ
แล ร์รี่ ฮินซ์แมน ผู้อำนวยการจากศูนย์วิจัยขั้วโลกเหนือนานาชาติใน อลาสก้า บอกกับสำนักข่าว อัล จาซีรา ว่า งานศึกษาชิ้นล่าสุดนี้ เป็นไปในแนวทางเดียวกับที่นักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ ค้นพบ
"งาน ศึกษาชิ้นนี้สอดคล้องกับ งานสังเกตการณ์การลดลงของจำนวนน้ำแข็ง ถ้าน้ำแข็งละลายไปจริง เช่นที่ในรายงานนำเสนอไว้ มันจะกลายเป็นข้อสรุปที่สำคัญได้เลย" ฮินส์แมนกล่าว "หากน้ำแข็งในทะเลละลาย ก็จะทำให้มหาสมุทรดูดซับความร้อนไว้มากขึ้นกว่าเดิมด้วย"
ในปี 2551 อุณหภูมิสูงสุดในวอร์ด ฮันท์ เขตขั้วโลกเหนือช่วงฤดูร้อนสูงถึง 20 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับปกติแล้วจะมีอุณหภูมิสูงสุดเพียง 5 องศาเซลเซียสเท่านั้น
ในฤดูร้อนปีที่ผ่านมาแผ่นน้ำแข็ง 5 ก้อน ในเขตเกาะเอลส์แมร์ ทางตอนเหนือของแคนาดา จมลงไปกว่า 23 เปอร์เซ็นต์ ก้อนน้ำแข็งเหล่านี้มีอายุกว่า 4,000 ปีแล้ว
"เมื่อ ขั้วโลกเหนือร้อนขึ้น เช่นเดียวกับทั่วโลกที่ร้อนขึ้น ก็จะทำให้เกิดผลที่ตามมา ดังที่เราได้เห็นกันแล้วว่าระดับน้ำทะเลบางแห่งสูงขึ้น" ฮินท์แมนกล่าว "ตอนนี้เรือส่วนใหญ่ที่มีเส้นทางเดินเรือระหว่างเอเชียกับยุโรปต้องเปลี่ยน เส้นทางเดินเรือไปเป็นผ่านคลองปานามา หรือผ่านในแถบปลายแอฟริกาใต้"
"หาก เส้นทางทะเลเหนือเปิดให้ใช้ได้ มันจะเป็นเส้นทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเดินเรือระหว่างเอเชียกับยุโรป ... เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบมากและมีผลกับคนทั้งโลก"
จน ถึงปัจจุบัน บริษัทเดินเรือได้สั่งเลื่อน การใช้เส้นทางลัดผ่านแถบขั้วโลกเหนือแล้ว ซึ่งในเขตเดียวกันก็เป็นเขตที่เป็นแหล่งเก็บน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจำนวน มหาศาล |
|
|