ไทย-ลาวชื่นมื่น เปิดด่านสามเหลี่ยมทองคำเชื่อมกาสิโนยักษ์ |
|
ประกาศเมื่อ
30 พฤษภาคม 2013 เวลา 11:42:59 เปิดอ่าน
1323 ครั้ง |
|
|
เจ้าเมืองต้นผึ้ง สปป.ลาวที่ตั้งกาสิโนยักษ์ทุนจีนยกคณะข้ามฝั่งโขงหารือไทย รับเปิดจุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำ เชื่อมด่านสากลลาว แถมขยายเวลาให้คนเข้า-ออกได้ถึง 2 ทุ่ม
วันนี้ (30 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงรายว่า หลังจากประเทศไทยเปิดจุดผ่านแดนถาวรที่บ้านสบรวก หมู่ 1 ต.เวียง อ.เชียงแสน ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนถาวรแห่งที่ 2 ของอำเภอ และแห่งที่ 4 ของจังหวัด พร้อมขยายระยะเวลาการเปิด ที่ปกติอนุญาตให้เข้าออกตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น. ได้ขยายให้ถึงเวลา 20.00 น.
นายวีระศักดิ์ ศิริสิทธิ์ นายอำเภอเชียงแสน ได้มีโอกาสให้การต้อนรับคณะของท่านจอมสี ลัดตะนะบัน เจ้าเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ซึ่งตั้งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำโขง พรมแดนไทย-ลาว ตั้งแต่สามเหลี่ยมทองคำถึงเขต อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ที่เดินทางมาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ในฐานะเป็นบ้านพี่เมืองน้อง ด้วยการจัดขบวนรถม้าและรถไฟฟ้าไปรับที่ริมฝั่งน้ำโขงหน้าที่ว่าการอำเภอ ก่อนนำชมทัศนียภาพรอบตัวเมืองเชียงแสน และแวะไหว้พระธาตุเจดีย์หลวง
จากนั้นได้นำคณะเข้าร่วมประชุมหารือกับฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคง ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.)เชียงแสน ตำรวจน้ำ หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) ตำรวจตระเวนชายแดน ตำรวจภูธรเชียงแสน ด่านตรวจพืช ด่านตรวจสัตว์ ศุลกากร ที่ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอเชียงแสน
ที่ประชุมได้แจ้งถึงเรื่องการเข้าออกไทย-ลาวด้าน อ.เชียงแสน ที่มีความสะดวกมากขึ้น โดยเฉพาะเมืองต้นผึ้งที่มีการเปิดด่านสากลที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภายในโครงการคิงส์โรมันของกลุ่มทุนดอกงิ้วคำ จากประเทศจีน ที่มีส่วนบริการเป็นกาสิโนขนาดใหญ่อยู่ด้วย ซึ่งประเทศไทยเปิดจุดผ่านแดนถาวรที่บ้านสบรวก พร้อมขยายระยะเวลาการเปิดด่านมากกว่าจุดอื่น ที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า เมื่อพระอาทิตย์ตกหรือเมื่อค่ำแล้วให้เรือทุกลำที่จะใช้จุดผ่านแดนถาวรทั้งสองฝั่งมีไฟฟ้าส่องสว่างชัดเจน โดยกำหนดให้ใช้ไฟสีแดงที่กาบซ้ายของเรือ ติดไฟสีเขียวที่กาบขวาของเรือ ติดไฟสีขาวที่ท้ายเรือ นอกจากนี้ เรือที่แล่นในแม่น้ำโขงทุกลำต้องติดธงของแต่ละประเทศเพื่อแสดงสัญชาติตามมาตรฐานสากลในการเดินเรืออย่างชัดเจนด้วย
ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยได้ผ่อนผันกรณีผู้ป่วยสามารถเข้ามารักษาตัวแบบเร่งด่วนที่โรงพยาบาลเชียงแสนได้ตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนการค้าขายที่มีการอำนวยความสะดวกมากขึ้น ก็ต้องอยู่ในกรอบกฎหมายของทั้งสองประเทศเป็นหลัก
นายวีระศักดิ์กล่าวว่า นับเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองประเทศได้เจรจาเรื่องความสัมพันธ์กัน เพราะทั้งไทยและลาวต่างมีความรู้สึกว่าเป็นพี่น้องกันอยู่แล้ว และยิ่งได้มาพูดจาหารือกัน ก็เป็นการสร้างความเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดเจนจากการค้า และการที่มีนักท่องเที่ยวข้ามจากฝั่งไทยไปยัง สปป.ลาววันละกว่า 1,000 คน และจะมีจำนวนมากกว่านี้ในช่วงวันหยุดยาว ซึ่งจะมีเม็ดเงินสะพัดจากทั้งสองฝั่ง
ท่านจอมสีกล่าวว่า ดีใจที่ได้มาเยือนเมืองเชียงแสน และได้มีการพูดคุยกับทางฝ่ายไทย เพราะเมืองต้นผึ้งและเมืองเชียงแสนติดต่อค้าขายกันมานานนับร้อยปี แต่ปัจจุบันสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นจึงต้องมีการพบปะหารือกันให้บ่อยครั้งขึ้น เพื่อการปรับตัว ปรับรูปแบบการสานความเข้าใจ อันจะเป็นประโยชน์ของประชาชนทั้งสองฝ่ายต่อไป |
|
|
|
|
|
|