คนดอยช้าง-ห้วยชมพู ลุกฮือทวงสัญญาทำถนนขึ้นดอย-หลังป่าไม้ขวาง |
|
ประกาศเมื่อ
20 เมษายน 2011 เวลา 23:49:11 เปิดอ่าน
1325 ครั้ง |
|
|
ชาวเขาดอยช้าง-ห้วยชมพู ฮือประท้วงหน้าศาลากลาง ทวงสัญญาทำถนนขึ้นดอย หลังป่าไม้ขวางไม่ให้ทางกลวงก่อสร้าง อ้างตัดผ่านเขตป่า
วันนี้ (20 เม.ย.) กลุ่มชาวบ้านจากดอยช้าง ต.วาวี อ.แม่สรวย และดอยห้วยชมพู อ.เมือง ซึ่งเป็นพื้นที่เขตติดต่อกันบนพื้นที่สูง และเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวเขาเผ่าต่างๆ เช่น อาข่า ลีซอ เย้า ฯลฯ ประมาณ 1,000 คน ได้พากันมาชุมนุมที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อเรียกร้องขอให้จังหวัดแก้ไขปัญหากรณีกรมทางหลวงจะก่อสร้างถนนขึ้นไปบนดอยช้าง ตั้งแต่หมู่บ้านดอยช้าง ต.วาวี-บ้านห้วยส้านลีซอ ต.ห้วยชมพู ระยะทางประมาณ 10.7 กิโลเมตร แต่ไม่สามารถเข้าไปก่อสร้างได้ เพราะเจ้าหน้าที่ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือป่าไม้ ระบุว่า เป็นเขตป่า และต้องมีการขออนุญาตตามขั้นตอนให้ถูกต้องก่อน
โดยชาวบ้าน ซึ่งนำโดย นายปรีชา กนกนาฏกุล กำนันตำบลห้วยชมพู, นายบรรจง มานะ กำนัน ต.วาวี, นายสุพจน์ จูเปาะ ผู้ใหญ่บ้านแสนเจริญ ต.วาวี, นายพิชญ์พิเชฏ พันธุพิสุทธิชน เลขานุการสภา อบต.ห้วยชมพู ฯลฯ ได้ยื่นหนังสือผ่าน นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เพื่อส่งถึง นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม มีเนื้อหาว่า ปัจจุบันไม่มีถนนมาตรฐานเชื่อมระหว่างห้วยชมพูกับดอยช้าง ทำให้ชาวบ้านที่จะเดินทาง หรือขนพืชผลทางการเกษตรลงมาจำหน่าย ต้องใช้เส้นทางอ้อมไปทางตัว อ.แม่สรวย ระยะทางประมาณ 77 กิโลเมตร และหากสร้างถนนเชื่อมดอยช้าง-ห้วยชมพู ก็จะร่นระยะทางเหลือเพียง 30 กิโลเมตร
โดยที่ผ่านมา กระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้กรมทางหลวง โดยสำนักงานทางหลวงชนบท เข้าไปดำเนินการก่อสร้างถนน แต่ช่วงที่กำลังก่อสร้างเจ้าหน้าที่เกษตรที่สูงดอยช้าง และสำนักงานทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) กลับเข้าไปห้ามไม่ให้ผู้รับเหมาดำเนินการ เป็นผลทำให้โครงการนี้หยุดชะงักลง
นายสุพจน์ จูเปาะ ผู้ใหญ่บ้านแสนเจริญ กล่าวว่า ชาวบ้านใช้ถนนขึ้นดอยช้างเส้นนี้มานานกว่า 95 ปี แต่เป็นถนนธรรมชาติสูงชัน ฤดูฝนก็เป็นหลุมโคลนใช้สัญจรไม่ได้ จึงมีการเรียกร้องให้สร้างถนนแต่เนื่องจากเป็นเขตป่าจึงปรึกษาและขออนุญาตเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ตามขั้นตอนกระทั่งกรมทางหลวงเห็นชอบและทำการก่อสร้างในที่สุด
แต่ปรากฏว่า เกิดปัญหาการขัดขวางจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ พวกเราเคยรวมตัวกันชุมนุมที่ว่าการ อ.แม่สรวย เมื่อวันที่ 3 มี.ค.54 ที่ผ่านมา และผู้ว่าราชการจังหวัด ก็ไปเจรจารับปากว่าจะแก้ไขปัญหาให้ แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการก่อสร้าง
นายพิชญ์พิเชฏ พันธุพิสุทธิชน เลขานุการสภา อบต.ห้วยชมพู กล่าวว่า พวกเรายอมรับว่าพื้นที่ทั้งดอยช้างและห้วยชมพูเป็นเขตป่า แต่ก็อยู่อาศัยกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ปัจจุบันมีประชากรนับหมื่นคน จึงเป็นเรื่องปกติที่ต้องการสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า ถนน ฯลฯ แต่เมื่อจะมีหน่วยงานใดเข้าไปพัฒนาตามความประสงค์ก็มักจะมีเจ้าหน้าที่อีกฝ่าย โดยเฉพาะป่าไม้ เข้าไปยับยั้ง โดยอ้างเรื่องการเป็นเขตป่าสงวนอยู่เรื่อยไปและเป็นมายาวนานแล้ว ดังนั้น จึงอยากให้แก้ไขปัญหาเรื่องนี้ด้วย
ต่อมา พ.อ.พรชัย ดุริยพันธ์ รอง ผอ.กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เชียงราย ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปร่วมประชุม เช่น นายไพรัตน์ พลอยประดิษฐ์ ผอ.สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย), นายเอนก ณัฐโฆษิต ทางหลวงชนบทเชียงราย ฯลฯ และให้ชาวบ้านจัดแกนนำเข้าร่วมหารือ ขณะที่มวลชนยังคงปราศรัยบนหลังรถบริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัดอย่างเอิกเกริก
ซึ่งทาง พ.อ.พรชัย แจ้งว่า เรื่องนี้เกิดจากความเข้าใจผิดระหว่าง 2 หน่วยงาน คือ กรมทางหลวงและป่าไม้ เพราะทางกรมทางหลวง อ้างถึงมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 28 ก.ย.2536 ที่อนุมัติผ่อนผันให้ก่อสร้างถนนในพื้นที่ป่าโครงการเพื่อความมั่นคงได้ และ ดอยช้าง-ห้วยชมพู ก็เป็นพื้นที่เพื่อความมั่นคงพอดี แต่เนื่องจากการประสานเอกสารไม่แล้วเสร็จ ทำให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้จำเป็นต้องยับยั้งการก่อสร้างตามหน้าที่ของตัวเอง
พ.อ.พรชัย กล่าวว่า ขณะนี้ได้ประสานเอกสารต่างๆ แล้วเสร็จแล้ว และทางผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้มีหนังสือบันทึกลงวันที่ 19 เม.ย.54 ให้ทางกรมทางหลวงเข้าไปดำเนินการได้ตามมติคณะรัฐมนตรี ดังนั้น จึงขอยืนยันว่า ถนนเส้นนี้จะมีการก่อสร้างแน่นอน เพราะโครงการและงบประมาณ วางเอาไว้แล้ว แต่ถ้ามีความขัดแย้งอย่างไร ทาง กอ.รมน.จังหวัดก็จะยื่นมือเข้าไปประสานงานให้เพื่อให้เอกชนก่อสร้างแล้วเสร็จตามกำหนดแน่นอน
ด้าน นายเอนก ณัฐโฆษิต ทางหลวงชนบทเชียงราย กล่าวว่า โครงการนี้ดำเนินการด้วยงบประมาณ 51 ล้านบาท ระยะทาง 10.7 กิโลเมตร ดำเนินก่อสร้างตั้งแต่กลางปี 2553 และมีกำหนดแล้วเสร็จวันที่ 18 พ.ค.นี้ แต่ที่ผ่านมามีข้อขัดข้องจึงล่าช้าดังกล่าว แต่หลังจากนี้คงจะเดินหน้าต่อไป
ซึ่งข้อสรุปดังกล่าวทำให้กลุ่มแกนนำพอใจ และออกไปชี้แจงกับชาวบ้านให้เข้าใจก่อนที่จะพากันสลายตัวไปรอฟังข่าวต่อไป |
|
|
|
|
|
|